วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วิธีแก้เครื่องอืด

วิธีแก้เครื่องอืด ประการที่ 1 ลงโปรแกรมไว้มากล้น
ข้อมูลจาก : หนังสือ Computer.Today
จาก hxxp://www.bcoms.net/
ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร มีแต่คนใกล้ตัวมาบ่นเรื่องอุปกรณ์ไอทีกันได้ทุกวี่วัน เดี๋ยวมือถือโทร.ไม่ติด พีดีเอดับเอง กล้องดิจิตอลถ่ายแล้วภาพไม่ชัด นานาสารพัดปัญหาจริงๆ แต่ปัญหาหนึ่งที่เรียกว่าเป็นปัญหายอดนิยม ที่คงไม่มีใครคนไหนอยากพบเจอ ก็คือปัญหาคอมพิวเตอร์ตัวเก่ง ไม่ว่าจะเป็นแบบตั้งโต๊ะ หรือโน้ตบุ๊กออกอาการชราภาพก่อนวัยอันควร ทั้งๆ ที่เพิ่งจะซื้อมา หรือเพิ่งจะอัพเกรดมาไม่นาน
จริงๆ แล้วการที่เราพิถีพิถันเลือกดูสเปก หรือโน้ตบุ๊กนั้น เราๆ ท่านๆ ก็มักจะดูสเปกเผื่อเอาไว้สำหรับอนาคตกันอยู่แล้ว ส่วนใครจะเผื่อมากเผื่อน้อยก็อยู่ที่งบประมาณเท่านั้นเอง แต่การที่คอมพิวเตอร์ของเรานั้นกลับทำงานได้ช้าลง ช้าลง และช้าลงทุกวัน นับตั้งแต่เราซื้อมันมาใช้งานนั้น สาเหตุอานไม่ได้มาจากความเก่าของตัวฮาร์ดแวร์ภายในเพียงอย่างเดียว การดูแลรักษาและการจัดการข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของเราเอง ก็มีส่วนสำคัญอย่างมาก ที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สุดที่รักของเรา อยู่คู่กับเราไปนานๆ เท่าที่เราหวังไว้
มาลองดูดีกว่าครับว่า ปัญหาหลักๆ ของการที่คอมพิวเตอร์ตัวเก่งเริ่มออกอาการงอแง หรือออกอาการชราภาพก่อนวัยอันควรนั้น มีสาเหตุหลักๆ อะไรบ้าง และจะมีหนทางแก้ไขอย่างไร
เคยมีการสำรวจแล้วพบว่า กว่า 70% ของปัญหาที่ทำให้คอมพ์เกิดอาการรวน แฮงก์ เดี้ยง หรืออืดนั้น มาจากซอฟต์แวร์ ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์อย่างที่หลายคนเข้าใจ และกว่า 50% ของปัญหาที่เกิดจากซอฟต์แวร์นั้นมาจากการที่ผู้ใช้ทำการติดตั้งโปรกแกรมเอาไว้มากเกินไป และมีโปรแกรมที่ทำงานซ้ำซ้อนกันหลายตัว
เริ่มสำรวจด่วนเลยครับ ว่าปัญหาของเราเข้าข่ายนั้นหรือเปล่า? โดยกดคลิ้กเข้าไปที่ Control Panel และไปตรวจสอบที่ Add or Remove Programs ว่าเรานั้นได้ทำการ Install โปรแกรมต่างๆ ไว้เกินความจำเป็นหรือไม่? มีโปรแกรมอะไรบ้างที่ทำงานซ้ำซ้อนกัน มีโปรแกรมประเภท Media Player ทั้งหลายนี้แหละครับ ไม่ว่าจะเป็น RealPlayer, Quicktime, iTunes, WinAmp หรือแม้แต่ WinDVD กับ PowerDVD เองก็ตาม โปรแกรมเหล่านี้มักมีความสามารถเหมือนๆ กัน มีความแตกต่างกันในความสามารถที่จะรองรับไฟล์เฉพาะบางตัว จึงทำให้หลายคนต้องลงโปรแกรมเหล่านี้ลงไปในคอมพิวเตอร์พร้อมกัน
ไฟล์นามสกุล rm, rmvb, mov, avi, divx, wmv และ mpeg ถือเป็นฟอร์แมตมาตรฐานสำหรับไฟล์วีดีโอในปัจจุบัน โดยเฉพาะ avi และ divx ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา อย่างที่กล่าวมาข้างต้นครับ โดยปกติหากต้องการให้เครื่องของเรานั้นสามารถเล่นไฟล์วีดีโอเหล่านี้ให้ได้ครบทุกตัว อาจต้องลงโปรแกรมถึง 4-5 ตัวทีเดียว อันที่จริงหากเราลอง Search ดูจากในอินเทอร์เน็ตจะพบว่าเราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้ เพราะจะมีโปรแกรมบางตัวที่เราอาจไม่คุ้นหูนักสามารถรองรับไฟล์เหล่านี้ได้ครบถ้วนแถมยังฟรีอีกต่างหาก อย่างโปรแกรม K-Lite Codec Pack (http://www.free-codecs.com/) ที่ได้มีการรวบรวม codec สำหรับไฟล์มีเดียต่าง ๆ จากทั่วทุกมุมโลกไว้อย่างครบถ้วน แถมยังมีตัว Media Player Classic เอาไว้สำหรับเล่นไฟล์มีเดียเหล่านั้นอีกด้วย เรียกว่าลงโปรแกรมเดียว รองรับไฟล์มีเดียได้ครบทุกฟอร์แมตกันเลย
ย้อนกลับมาที่โปรแกรมพื้นฐานของระบบปฏิบัติการวินโดวส์อย่าง Windows Media Player กันบ้าง ซึ่งหลายคนละเลยที่จะทำความรู้จักกับโปรแกรมตัวนี้ ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพด้อยไปกว่าโปรแกรม Media Player อื่นๆ เลยโดยเฉพาะในเวอร์ชันล่าสุดWindowsMediaPlayer11 (www.microsoft.com/Windows/windowsmedia/player/11/default.aspx) ที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจากไมโครซอฟท์ ได้มีการพัฒนาขึ้นมามาก มีความสามารถในการเล่นภาพยนตร์จาก CD/DVD ได้ไม่น้อยหน้า PowerDVD หรือ WinDVD

ส่วนในการเล่นไฟล์เพลงอย่าง MP3 ยอดนิยมนั้น ก็ทำได้ไม่แพ้ iTunes และอาจเรียกได้ว่าดีกว่า WinAmp แล้วด้วยซ้ำไป ซึ่งถือว่า Windows Media Player 11 เป็นทางเลือกที่ดีมาก ๆ ที่จะเลือกไว้เป็นโปรแกรมสำหรับเล่นภาพยนตร์จากแผ่น CD/DVD และเล่นไฟล์เพลงดิจิตอลบนคอมพ์ของคุณโดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมอื่นให้เสียเวลา
ยังมีโปรแกรมอีกหลายตัวที่หลายคนนิยมติดตั้งไว้ในคอมพ์และทำหน้าที่ซ้ำซ้อนกัน อย่างโปรแกรมประเภทบีบอัดไฟล์ ที่เมื่อพูดถึงทุกคนมักนึกถึง WinZip แต่ปัจจุบันหากใครเป็นเซียนดาวน์โหลดสักหน่อย จะพบว่าอีกฟอร์แมตที่มักได้รับความนิยมคือ .rar ซึ่งก็ไม่ใช่ฟอร์แมตอะไร โปรมแกรมที่สามารถใช้เปิดไฟล์นามสกุลนี้ได้คือ WinRAR และหากมองดูในความสามารถกันจริง ๆ WinZip และ WinRAR ต่างทำหน้าที่เหมือนกันคือ บีบอัด และคลายไฟล์ ต่างกันเพียงความสามารถในการรองรับไฟล์ฟอร์แมตเท่านั้นเอง

คำแนะนำจากผมคือ ให้เลือกติดตั้งเพียงตัวเดียว คุณจะพบว่าหน้าต่างของ context menus เวลาที่คลิ้กขวาจะมีทั้งฟังก์ชันจาก WinZip และ WinRAR (http://www.rarlab.com/) นั่นเอง สาเหตุเพราะมันรองได้ฟอร์แมตได้ทุกตัวที่ Winzip สามารถรองรับได้แถมยังรองรับได้มากกว่าอีกด้วย นี่เป็นเพียงตัวหลักๆ เท่านั้นนะครับ อย่าลืมสำรวจดูในคอมพ์ของคุณก็แล้วกันว่า เราได้ติดตั้งโปรแกรมอะไรลงไปแล้วไม่ค่อยได้ใช้งาน หรือได้ติดตั้งลงไปหลายตัวและมีการทำงานที่คล้ายคลึงหรือซ้ำซ้อนกันหรือไม่? เลือกที่จะลบออกไปบ้าง จะทำให้เนื้อที่ในฮาร์ดดิสก์ของคุณเพิ่มขึ้น รวมถึงเครื่องก็จะมีเสถียรภาพและความเร็วในการทำงานเพิ่มขึ้นด้วยครับ

วิธีแก้เครื่องอืด ประการที่ 2 ดูแลรักษาและจัดระเบียบฮาร์ดดิสก์กันหรือยัง ?
ข้อมูลจาก : หนังสือ Computer.Today
จาก hxxp://www.bcoms.net/

หากพูดถึงการจัดระเบียบฮาร์ดดิสก์เชื่อว่าหลายคนจะนึกถึงการใช้ยูทิลิตี้ที่ชื่อว่า Disk Defragmenter ที่มาพร้อมกับตัวระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งนั้นก็ถือว่าเป็นวิธีที่ใช้จัดระเบียบฮาร์ดดิสก์ที่ดีและควรทำวิธีหนึ่งเช่นกัน และผมแนะนำให้ทำอย่างน้อยเดือนละครั้งครับ แต่ครั้งนี้ผมจะไม่พูดถึงเฉพาะการทำDisk Defragment เท่านั้นนะครับ เพราะการจัดระเบียบให้กับฮาร์ดดิสก์เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงานนั้น ยังมีอะไรนอกเหนือจากนั้นอีก เริ่มต้นตั้งแต่คุณได้ซื้อฮาร์ดดิสก์ลูกใหม่กันเลยทีเดียว

ในปัจจุบันขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก แถมราคาก็ถูกลง จะเห็นได้ว่าในท้องตลาดตอนนี้ขนาดความจุต่ำสุดจะเริ่มต้นที่ประมาณ 80 กิกะไบต์ หรือ 100 กิกะไบต์กันแล้วโดยเฉพาะผู้ที่ซื้อมาเพื่อทำการอัพเกรดคอมพ์ตัวเก่านั้น หลายคนไม่ได้ทำการถอดเอาฮาร์ดดิสก์ตัวเก่าทิ้งไป หากแต่ติดตั้งฮาร์ดดิสก์ลูกใหม่ลงไปให้ทำงานคู่กันกับตัวเก่าเลย
คำแนะนำในการติดตั้งของผมก็คือ ให้ติดตั้งฮาร์ดดิสก์ลูกใหม่เป็น Master และให้นำตัวเก่ามาทำเป็น Slave โดยให้ทำการฟอร์แมตระบบปฏิบัติการวินโดวส์ในลูกเก่าออกเสียและติดตั้งใหม่ลงบนฮาร์ดดิสก์ลูกใหม่แทน อีกสิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาด ก็คือการแบ่งพาร์ทิชันให้กับฮาร์ดดิสก์ของคุณ
ส่วนระบบ Files System นั้น ผมแนะนำให้ใช้ NTFS แทน FAT32 เพราะในการทำงานกับฮาร์ดดิสก์ความจุสูง ๆ NTFS นั้นจะทำงานได้รวดเร็วกว่าแบบ NTFS นั้นจะทำงานได้รวดเร็วกว่าแบบ FAT32 ที่เราคุ้นเคยกันอยู่ พร้อมกันยังมีระบบการทำงานที่ดีกว่า อาทิการรองรับขนาดของไฟล์ได้สูงสุดที่16 TB (16,000 กิกะไบต์) ขณะที่ FAT32 นั้นรองรับสูงสุดเพียง 2 กิกะไบต์เท่านั้น (ลองนึกถึงการทำอิมเมจของไฟล์ภาพยนตร์ดีวีดีสักหนึ่งแผ่นที่ปกติจะมีขนาดประมาณ 3-4 กิกะไบต์ ถ้าเป็นบนระบบ FAT32 จะไม่สามารถทำได้เพราะระบบ FAT32 จะไม่รองรับไฟล์ที่มีขนาดสูงกว่า 2 กิกะไบต์ ในขณะที่ NTFS นั้นทำได้สบายๆ ครับ) และ NTFS ยังมีอัตราการสูญเสียเนื้อที่ฮาร์ดดิสก์ไปอย่างเปล่าประโยชน์ หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ Cluster Size นั้นน้อยกว่า FAT32 มากทีเดียว เมื่อใช้กับพาร์ทิชันที่มีขนาดสูงกว่า 8 กิกะไบต์
สำหรับผู้ที่ใช้ระบบ Files System แบบ FAT32 อยู่ขณะนี้ แล้วไม่อยากจะฟอร์แมตใหม่เพื่อเปลี่ยนระบบ Files System ให้เป็น NTFS ผมก็มีวิธีนำมาเสนออย่างง่าย ๆ นะครับ โดยให้ทำตามขั้นตอนดังนี้
-
กดคลิ้กที่ Start เลือกไปที่ Run แล้วพิมพ์คำว่า cmd และกด Enter จากนั้นจะมีหน้าต่าง Dos ขึ้นมา
-
ให้พิมพ์ cd\ และกด Enter ก่อน เพื่อเคลียร์ Directory ไป จากนั้นพิมพ์คำว่า CONVERT ไดรฟ์ที่ต้องการแปลง /FS:NTFS ครับ สมมติผมต้องการจะแปลงไดรฟ์ C: ให้เป็น NTFS ผมก็จะพิมพ์ว่า CONVERT C:/FS:NTFS และกด Enter ครับ
-
ลำดับต่อไปก็จะให้ใส่ Volume Lable ของไดรฟ์นั้นๆ ที่เราต้องการจะ Convert ซึ่งเราสามารถดูได้จากการพิมพ์ dir/w ครับ
-
เมื่อใส่ Volume Label ลงไปก็ให้กด Enter หลังจากนั้นก็จะมีคำถามขึ้นมาเพื่อยืนยันการแปลงระบบ ให้เราตอบ Y ไป เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อยครับ
*
อย่าลืมที่จะเก็บข้อมูลสำคัญๆ ก่อนทำการเปลี่ยนแปลงระบบ Files System ไม่สมบูรณ์ จะพาลให้ข้อมูลเสียหาย จนอาจจะถึงขั้นต้องฟอร์แมตฮาร์ดดิสก์เลยนะครับ

วิธีแก้เครื่องอืด ประการที่ 3 ทำความสะอาด Registry กันเถอะ
ข้อมูลจาก : หนังสือ Computer.Today
จาก hxxp://www.bcoms.net/
Registry
คืออะไร? หลายคนยังไม่ทราบ ผมจะอธิบายคร่าวๆ แล้วกัน Registry คือฐานข้อมูลของระบบ
ปฏิบัติการวินโดวส์ที่รวบรวมข้อมูลการตั้งค่าของตัวระบบปฏิบัติการ และโปรแกรมต่างๆ ในการทำงานร่วมกันกับตัวระบบปฏิบัติการหรือโปรแกรมใดๆ ลงบนคอมพ์ ตัวระบบปฏิบัติการก็จะทำการเขียน Registry ขึ้นมา เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการกำหนดการทำงานโปรแกรมนั้นๆ แต่หลายครั้งที่การเขียน Registry ขึ้นมาของระบบปฏิบัติการนั้นกลับสร้างปัญหาให้ระบบปฏิบัติการเสียเอง รวมถึงเมื่อเราทำการถอนการติดตั้งโปรแกรมใดๆ ออกไป ข้อมูล Registry ที่เกี่ยวข้องนั้นกลับไม่ได้ถูกลบออกไปจากระบบด้วย ทำให้หลายเครื่องมีข้อมูล Registry ที่ไม่มีประโยชน์คั่งค้างอยู่ในเครื่องเป็นจำนวนมาก
ผมขอแนะนำโปรแกรมเล็กๆ ที่จะสามารถช่วยคุณจัดการปัญหาเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย โดยคุณไม่ต้องแปลงร่างเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านโปรแกรมเมอร์แต่อย่างไร โปรแกรมเล็กและฟรีตัวเก่งตัวนี้คือ CCleaner (http://www.ccleaner.com/) โดยความสามารถของโปรแกรมเล็กๆ ตัวนี้ไม่ใช่เพียงแค่การตรวจสอบสถานการณ์ทำงานของ Registry และลบทิ้งเท่านั้นมันยังสามารถตรวจสอบหาไฟล์ขยะหรือไฟล์ที่ไม่จำเป็นในเครื่องของคุณและทำการลบออกได้อีกด้วย รวมถึง Internet Temporary Files, History และ Cookies ที่ได้จากการท่องเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ตของคุณอีกด้วย ปัญหาข้อนี้แก้ไขง่ายๆ เหมือนปลอกกล้วยเข้าปากช้างเลย...ว่างั้นมั้ยครับ?

วิธีแก้เครื่องอืด ประการที่ 4 วัยร้าย ไวรัส โอ้ว...ไม่นะ!
ข้อมูลจาก : หนังสือ Computer.Today
จาก hxxp://www.bcoms.net/
นี่ถือเป็นสาเหตุหลักสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลายคนต้องนอนก่ายหน้าผากและถือเป็นสาเหตุต้นๆ ที่ทำให้คอมพ์ตัวเก่งของเราทำงานอย่างที่ไม่มีเสถียรภาพ และทำงานช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ผมอยากจะบอกความจริงอันน่าสะพรึงกลัวว่าการที่คุณติดไวรัสให้ทราบคือ ไม่มีโปรแกรมป้องกันไวรัสตัวใด ที่สามารถกำจัดและป้องกันไวรัสได้ 100% โดยเฉพาะการป้องกันและกำจัดภัยคุกคามที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า Trojan และ Spyware
คำแนะนำคือให้การติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยให้กับคอมพ์ของคุณ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดของผมคือให้เลือกติดตั้งโปรแกรมแอนตี้ไวรัสสักหนึ่งตัว พร้อมกับติดตั้งโปรแกรมตรวจจับและกำจัดสปายแวร์ไปด้วยอีกหนึ่งตัว โปรแกรมแอนตี้ไวรัสในปัจจุบันที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมมีหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น Norton, McAfee, NOD32, BitDefender, Kaspersky, AVG และ Panda Software แต่สำหรับคนที่อยากใช้ของดีของฟรี ผมก็มีแนะนำเหมือนกันครับ AntiVir Personal Edition (http://www.freeav.com/) ซึ่งเป็นโปรแกรมแอนตี้ไวรัสแบบฟรีแวร์อย่างAd-aware Personal และ Spybot Search & Destroy ต่างก็มีความสามารถในการตรวจจับสปายแวร์ที่ดีเช่นกัน เพียงแต่ทั้งสองโปรแกรมไม่สามารถทำงานแบบ real-time ได้เท่านั้นเอง
อีกหนึ่งวิธีในการป้องกันไม่ให้ทั้งเจ้าไวรัสตัวร้าย และสปายแวร์ตัวป่วนมาเยี่ยมเยียนคอมพ์ของคุณก็คือพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของคุณนั่นเอง โปรแกรมบราวเซอร์อย่าง Internet Explorer นั้นมีความเสี่ยงสูงต่อการโดยโจมตีด้วยสารพัดวิธีของสปายแวร์ การเปลี่ยนไปใช้บราวเซอร์ที่มีความปลอดภัยสูงกว่าอย่าง Opera หรือ Firefox ก็ถือเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง
นอกจากนี้การเข้าเวปไซต์ที่ไม่ค่อยคุ้นหูคุ้นตา และการดาวน์โหลดไฟล์ต่างๆ ก็ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าจะไม่มีของแถมอันไม่พึงประสงค์ติดมาด้วย
สำหรับผู้ที่ใช้โปรมแกรมประเภท Outlook ในการรับ-ส่งอีเมล์นั้น ควรตั้งค่าให้มีการสแกนไวรัสก่อนรับอีเมล์เสมอ เพื่อป้องกันอีเมล์จากผู้ไม่พึงประสงค์ร้ายไม่ให้สามารถมาคุกคามคอมพ์ของคุณได้นั่นเอง...เรียกว่าเพียงใส่ใจในรายละเอียด และใช้ความรอบคอบสักเล็กน้อยในการเป็นคนช่างสังเกต ก็จะช่วยให้คุณไม่ต้องนอนก่ายหน้าผากกับปัญหาของไวรัสและสปายแวร์แล้วละครับ

วิธีแก้เครื่องอืด ประการที่ 5 วินโดวส์เจ้าปัญหา!
ข้อมูลจาก : หนังสือ Computer.Today
จาก hxxp://www.bcoms.net/
ถ้าหากนำระบบปฏิบัติการทุกตัวที่มีการใช้งานในปัจจุบันมาเปรียบเทียบกัน ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ ก็ถือเป็นระบบปฏิบัติการที่มีช่องโหว่ และมีบั๊กมากที่สุดเลยก็ว่าได้ และด้วยความนิยมและมีจำนวนผู้ใช้สูงสุดนี่เอง ทำให้ช่องโหว่เหล่านั้น กลายเป็นเป้าโจมตีของบรรดาผู้ไม่หวังดีมากที่สุดเช่นกัน
อันที่จริงไมโครซอฟท์เองก็ไม่ได้นิ่งเฉยต่อช่องโหว่ต่างๆ ที่เกิดขึ้น พวกเขาหมั่นที่จะออกตัวอัพเดทสำหรับแก้ไขช่องโหว่และบั๊กต่างๆ อยู่เป็นประจำ และเราๆ ท่านๆ ที่เป็นผู้ใช้ก็ต้องหมั่นคอยตรวจสอบและอัพเดตตัวแก้ไขปัญหาห่างๆ เหล่านั้นด้วย แต่ถ้าคุณรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องมาคอยตามอัพเดตกันทุกวี่วัน ก็มีหลายคนได้ทำการรวบรวมตัวอัพเดตต่างๆ เอาไว้ และปล่อยให้ดาวน์โหลดไปติดตั้งภายในครั้งเดียวอาทิ ชุดอัพเดตอย่าง AutoPatcher (http://www.autopatcher.com/) เป็นต้น ซึ่งจะมีการรวบรวมและออกชุดรวมการอัพเดตต่างๆ ของไมโครซอฟท์ออกมาทุกเดือนซึ่งคุณสามารถดาวน์โหลดไปติดตั้งได้ฟรี แถมไม่ต้องคอยล่าตามอัพเดตทุกวันอีกด้วย
สำหรับการเพิ่มความเร็วในการทำงานให้กับเจ้าวินโดวส์ตัวเก่งนั้นสามารถทำได้ง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งโปรแกรมประเภท Tweak ตัวไหนเลยก็ได้ครับ
ขั้นแรกให้จัดการกับเอฟเฟ็กต์ฟุ่มเฟือยเสียก่อน โดยคลิ้กขวาที่ My Computer เลือก Properties ไปที่ Advanced เลือก Setting ภายใต้หัวข้อ Performance จากนั้น ภายในหัวข้อ Visual Effects ให้ติ๊กเอาเครื่องหมายถูกหน้าข้อที่ขึ้นต้นด้วย Animate, Fade และ Slide ออกให้หมด หลังจากกด Apple และ OK เพื่อเป็นการยืนยัน
ขั้นต่อมาให้จัดการกับโปรแกรมในส่วนของ Startup ด้วยการคลิ๊กที่ Start เลือกไปที่ Run แล้วพิมพ์คำว่า msconfig ให้กด Enter เมื่อได้หน้าต่างของ System Configuration Utility ขึ้นมา ให้เลือกไปที่ Startup โดยจะเป็นส่วนที่รวบรวมโปรแกรมที่จะรันขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อวินโดวส์เริ่มทำงาน ซึ่งหลายโปรแกรมนั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเริ่มทำงานทันที่เมื่อเข้าสู่วินโดวส์ โดยให้คุณเลือกโปรแกรมที่ไม่ค่อยจำเป็นออกซะ แล้วอย่าลืมกด Apply และ OK เหมือนเดิม แค่สองวิธีง่ายๆ นี้ก็ช่วยให้วินโดวส์ของคุฤณทำงานได้คล่องตัวมากขึ้นทีเดียวนะครับ

วิธีแก้เครื่องอืด ประการที่ 6 อะไรนะ? คอมพ์มองไม่เห็นแรมเหรอ!
ข้อมูลจาก : หนังสือ Computer.Today
จาก hxxp://www.bcoms.net/
ปัญหาที่พบบ่อยมากกับแรมนั้นคือการที่คอมพ์มองไม่เห็นจำนวนแรมของเราได้อย่างครบถ้วน บางคนใส่แรมเข้าไป 2 แถว แถวละ 256 เมกะไบต์ ซึ่งรวมเป็น 512 เมกะไบต์ แต่คอมพ์กลับมองเห็นเพียง 256 เมกะไบต์เท่านั้น
ปัญหาแบบนี้สันนิษฐานได้สองข้อหลักๆ คือ แรมอาจจะเสีย หรือสล็อตเสียบแรมมีปัญหา วิธีตรวจสอบคือ ให้ทำการใส่แรมทีละตัวลงบนสล็อตทีละอัน หากแรมที่ใส่ลงไปนั้นคอมพ์ไม่สามารถมองเห็นได้ไม่ว่าจะใส่ลงบนสล็อตใดก็ตามแสดงว่าแรมแผงนั้นมีปัญหาแน่นอน ให้ลองทำความสะอาดหน้าสัมผัสทองเหลืองด้วยการนำยางลบมาถูจนคราบสีดำหลุดออกไปและนำไปลองใส่ดูอีกครั้ง
ถ้าหากคอมพ์ยังไม่สามารถมองเห็น นำไปเคลมหรือซื้อใหม่ได้เลยครับ แต่หากคอมพ์สามารถมองเห็นแรมนั้นได้บนบางสล็อต ให้นำลูกยางเป่าลมมาเป่าไล่ฝุ่นออกจากสล็อตที่มีปัญหา หรือจะนำสำลีมาปัดทำความสะอาดก็ได้และหากยังไม่สามารถใช้งานได้ คงต้องซ่อมหรือเคลมเลยครับ

วิธีแก้เครื่องอืด ประการที่ 7 ซีพียู มันสมองของคอมพิวเตอร์
ข้อมูลจาก : หนังสือ Computer.Today
จาก hxxp://www.bcoms.net/
ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับซีพียู ก็คือเรื่องของความร้อนในการทำงานที่มีความร้อนสูง บางครั้งสูงมากจนเครื่องแฮงก์ ซีพียูไหม้คาเคสไปเลยก็มีมาแล้ว โดยปกติเวลาเราซื้อซีพียูสักตัว ในกล่องหรือแพ็กเกจก็จะมีชุดระบายความร้อนแถมมาให้ด้วยอยู่แล้ว แต่ชุดระบายความร้อนนั้นก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงอะไรมากมายนัก เป็นชุดระบายความร้อนที่สามารถรองรับการทำงานทั่วๆ ไป ในสภาพแวดล้อมปกติ แต่เมืองไทยนั้นเป็นเมืองร้อนครับ และหลายคนก็ไม่ได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ภายในห้องแอร์ ทำให้โอกาสที่ซีพียูจะมีความร้อนสูงกว่าปกติ และทำให้ชุดระบายความร้อนที่แถมมานั้นไม่สามารถรองรับการระบายความร้อนได้เพียงพอจึงเป็นไปได้มาก
ทางออกของปัญหาคงไม่พ้นเรื่องของการหาซื้อชุดระบายความร้อนมาเปลี่ยนนั่นเอง โดยเฉพาะคนที่นิยมชมชอบในเรื่องของการโอเวอร์คล็อกซีพียูนั้น ยิ่งต้องมีความพิถีพิถันในการเลือกชุดระบายความร้อนมากเป็นพิเศษ
คำแนะนำสำหรับการเลือกซื้อชุดระบายความร้อนสำหรับซีพียูนั้นควรดูหน้าสัมผัสของชุดระบายความร้อนให้ดี ควรจะมีหน้าสัมผัสเป็นทองแดง เพราะทองแดงมีคุณสมบัติในการดูดซับและกระจายความร้อนได้ดีกว่าเหล็กหรืออะลูมิเนียม ที่นิยมใช้กับชุดระบายความร้อนทั่วๆ ไป
สำหรับใครที่เพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ ที่ใช้ซีพียูรุ่นใหม่ๆ ของ AMD ไม่ว่าจะเป็น Athlon64 หรือ Athlon X2 ควรติดตั้งไดร์เวอร์สำหรับซีพียูด้วย โดยดาวน์โหลดและตรวจสอบไดร์เวอร์ได้ที่ http://www.amd.com/ ทั้งนี้ก็จะทำให้ประสิทธิภาพและเสถียรภาพในการทำงานร่วมกับระบบปฎิบัตินั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้ซึ่งปัญหากวนใจนั่นเอง

วิธีแก้เครื่องอืด ประการที่ ประการที่ 8 สารพันปัญหาฮาร์ดแวร์
ข้อมูลจาก : หนังสือ Computer.Today
จาก hxxp://www.bcoms.net/
นอกจากปัญหาที่มักเกิดกับแรมและซีพียู อย่างที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว ฮาร์ดแวร์ส่วนอื่นๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นคอมพ์สักเครื่องนั้น ก็ใช่ว่าจะทำงานราบรื่นไม่เคยก่อปัญหาเสียเมื่อไหร่ อย่างการ์ดแสดงผลตัวเก่งสำหรับชาวเกมเมอร์นั้น ก็ชอบงอแงอยู่บ่อยครั้ง อาทิ การสามารถรันเกมบางเกมได้ ทางแก้ง่ายๆ คือพยายามอัพเดทไดรเวอร์กันอย่างสม่ำเสมอ (Nvidia เฉลี่ยออกได้เวอร์ทุกๆ 7-14 วัน ขณะที่ ATI เฉลี่ยการอัพเดตไดรเวอร์สำหรับการ์ดแสดงผลของพวกเขาโดยเฉลี่ยเดือนละหนึ่งครั้ง) ทั้งนี้รวมถึงฮาร์ดแวร์ทุกชิ้นในคอมพ์หมั่นคอยตรวจสอบดูว่ามีการอัพเดตไดรเวอร์จากผู้ผลิตหรือไม่? ถ้าหากมีก็อย่าลืมที่จะไปดาวน์โหลดมาติดตั้งด้วยนะครับ
นอกจากการ์ดแสดงผลแล้วตัวออฟติคอลไดรฟ์อย่าง CD, DVD หรือแม้แต่ CD Writer, DVD Writer เองก็มักพบปัญหาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเรื่องการไม่สนับสนุนแผ่นที่อ่านและเขียน บางครั้งเรานำแผ่น CD ใสเข้าไปตัวอย่างเช่น เจ้าไดรฟ์ตัวเก่งกลับงอแงไม่ยอมอ่านแผ่นซะอย่างนั้น คำแนะนำคือให้ลองทำความสะอาดหัวอ่านด้วยการหาซื้อชุดทำความสะอาดหัวข้อมาลองดูก่อน หากยังไม่สำเร็จ หรือจะเป็น DVD Writer ที่เพิ่งซื้อมากับไม่สามารถเขียนข้อมูลลงบนแผ่น DVD เปล่าบางยี่ห้อได้ คำแนะนำคือให้ลองทำการอัพเดตเฟิร์มแวร์ของตัวไดรฟ์เสียก่อนครับ
อีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อยๆ แต่กลับไม่ค่อยมีใครทราบวิธีแก้ไข คือเรื่องของถ่านเมนบอร์ดเสื่อม วิธีสังเกตคือเมื่อใดที่คุณเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา แล้วนาฬิกาบอกเวลาในวินโดวส์นั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง หรือผิดเพี้ยนไปมาก อาทิ เปิดใช้งานแต่วันที่กลับแจ้งวันเวลาเป็นของเดือนที่แล้ว หรือสัปดาห์ก่อน สันนิษฐานไว้ก่อนเลยนะครับว่าตัวแบตเตอรี่ของเมนบอร์ดนั่นน่าจะเริ่มเสื่อมแล้ว ทางออกก็เพียงแค่ซื้อถ่านมาเปลี่ยนครับ ก้อนหนึ่งเพียง 50-70 บาทเท่านั้นเอง

วิธีแก้เครื่องอืด ประการที่ 9 Phishing และ Pharming
ข้อมูลจาก : หนังสือ Computer.Today
จาก hxxp://www.bcoms.net/
การวางเหยื่อล่อที่แฮกเกอร์นำมาตบตาสำหรับผู้ที่ชอบใช้บริการ E-Banking หรือแม้แต่ชอปปิ้งออนไลน์ทั่วโลกนั้น ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมักจะอยู่ที่ความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้ใช้บริการประเภทนี้มากจนเกินไปแน่นอนว่ารวมถึงขาดการสังเกตในสิ่งรอบตัวด้วย แฮกเกอร์ใหม่ยอมลงทุนเสียเวลาทำเว็บปลอมให้เหมือนของจริงมากที่สุด ซึ่งเป็นการลงทุนลงแรงที่ได้ผลตอบรับดีเสียด้วย เพราะสามารถหลอกลวงให้เหยื่อมาติดกับได้หลายคน เมื่อแฮกเกอร์ทำเว็บปลอมได้เหมือนขนาดนี้ เราจะรู้ได้อย่างว่าอันไหนคือของจริงกันแน่ วิธีตรวจสอบก็ไม่ยากครับโดยหลักการของ Phishing และ Pharming มีจุดประสงค์ต้องการข้อมูลส่วนตัวของคุณเป็นหลัก ดังนั้นหน้าเว็บที่ทำปลอมขึ้นมาจะพยายามให้คุณกรอกข้อมูลให้มากที่สุด โดยเฉพาะพาสส์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับบัตรเครดิต หรือข้อมูลที่จะช่วยให้แฮกเกอร์สามารถสั่งโอนเงินจากบัญชีของคุณได้ หากไม่แน่ใจจริง ๆ ให้คุณติดต่อกับทางธนาคารโดยตรงเลยว่ามีการขอข้อมูลแบบนี้ผ่านเว็บไซต์จริง ๆ หรือไม่?
อีกวิธีหนึ่งที่คุณสามารถตรวจสอบได้เองคือ ให้เปิดหน้าเว็บนั้นขึ้นมาบ่อย ๆ เพื่อตรวจสอบดูว่าแท้ที่จริงแล้วในระหว่างที่เว็บบราวเซอร์กำลังวิ่งไปตามที่อยู่ของ URL นั้น มันวิ่งไปที่เดิมตลอดหรือไม่? เพราะหากเราไปเจอกับวิธีการ ตอบสนองก่อน แสดงผลก่อนโอกาสที่หน้าเว็บของจริงจะตอบสนองขึ้นมาก่อนเว็บปลอมก็มีเช่นกัน เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่แฮกเกอร์นำมาใช้เพื่อให้เว็บปลอมที่สร้างขึ้นแสดงผลขึ้นมาก่อน และมักจะ Active อยู่ด้านหน้าเว็บจริงอยู่เสมอ อันที่จริงหากคุณลองหดเว็บไปมา ก็อาจจะพบว่ามีหน้าเว็บอีกอันหนึ่งซ่อนอยู่ด้านหลังหรือถูกเรียกขึ้นมาในระหว่างนั้นด้วย

วิธีแก้เครื่องอืด ประการที่ 10 อินเทอร์เน็ตยุคเต่าคลาน และปัญหาเน็ตเวิร์กชวนปวดหัว
ข้อมูลจาก : หนังสือ Computer.Today
จาก hxxp://www.bcoms.net/
หลายคนออกอาการเซ็ง เมื่อความเร็วในการเล่นอินเทอร์เน็ตนั้นไม่ค่อยทันใจคนรุ่นใหม่วัยไอที ทั้งๆ ที่หลายคนลงทุนเปลี่ยนจากเดิมเคยใช้ Modem Dial-up 56k มาเป็น Hi-Speed Internet แล้ว ทั้งนี้สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ ทำให้ผู้ให้บริการหลายๆ เจ้า ปรับเปลี่ยนแบนด์วิดธ์กันไม่ทันต่อจำนวนผู้ใช้
อีกสิ่งหนึ่งคือให้ลองสำรวจถึงช่วงเวลาการใช้งานของคุณด้วยอินเทอร์เน็ตก็เปรียบเสมือนการจราจรในกรุงเทพมหานครของเรานี่แหละครับ มันมีช่วงเวลาเร่งด่วนอยู่เหมือนกัน นั้นก็คือช่วงเวลา 17.00-24.00 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตกันมากที่สุด หากคุณต้องการดาวน์โหลดไฟล์อะไรละก็ ผมแนะในให้ดาวน์โหลดทิ้งไว้ในช่วงเวลาที่นอกเหนือจากเวลาดังกล่าว นอกจากความเร็วในการโหลดจะสูงกว่าปกติในช่วงนั้นโอกาสที่การเชื่อมต่อจะถูกตัดก็มีน้อยกว่าด้วย
อีกสิ่งหนึ่งคือเรื่องของสายโทรศัพท์ที่ใช้ ลองตรวจสอบดูครับว่ามีสัญญาณรบกวนมากหรือเปล่า? ทดสอบได้ง่ายๆ ด้วยการนำโทรศัพท์พื้นฐานมาต่อเข้ากับสายโทรศัพท์ที่เราใช้ในการต่ออินเทอร์เน็ต และลองยกหูโทรออกดู หากมีเสียงซ่าเข้ามาเป็นระยะๆ หรือมีเสียงแทรกระหว่างการสนทนานั้น นั่นแสดงว่าสายโทรศัพท์เส้นนั้นมีสัญญาณรบกวนอยู่
ทางแก้อาจจะต้องพึ่งเจ้าหน้าที่ของผู้ให้บริการโทรศัพท์ ให้เขามาตรวจสอบการเดินสายภายในที่พักของเราว่ามีส่วนใดช่วงไหนที่ชำรุดเสียหายหรือไม่? การทำให้สายโทรศัพท์มีสภาพที่ดีอยู่ตลอดเวลาก็จะช่วยให้การท่องเข้าไปยังโลกอินเทอร์เน็ตของคุณนั้นราบรื่นและรวดเร็วได้เหมือนกัน
สำหรับการแชร์อินเทอร์เน็ตนั้นทำได้กันอยู่หลายวิธี ไม่ว่าจะใช้สาย Cross ต่อ LAN หรือจะทำ Wireless LAN เองก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะเมื่อคุณซื้ออุปกรณ์สำหรับการแชร์อินเทอร์เน็ตเหล่านี้มา เขาก็จะมีตัวคู่มือสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์และเซตอัพให้อยู่แล้ว สำหรับการแชร์ไฟล์นั้นในระบบปฏิบัติการอย่างวินโดวส์ เอ็กซ์พีเองก็มีตัวช่วยในการเซตอัพการแชร์เน็ตเวิร์กกันอยู่แล้ว เพียงแค่คุณเลือกไดรฟ์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการจะแชร์ แล้วคลิ้กขวาเลือก Sharing and Security และทำตามขั้นตอนที่วินโดวส์บอกไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
ปัญหาหนึ่งที่พบกันบ่อยครั้งในการแชร์ไฟล์หรือการแชร์อินเทอร์เน็ต คือการที่เครื่องในวงเน็ตเวิร์กนั้นไม่สามารถมองเห็นไฟล์ของอีกเครื่องหนึ่งได้ รวมถึงการที่เมื่อทำการแชร์อินเทอร์เน็ตแล้วขึ้นคำว่า Connection has limited or no connectivity ในปัญหาของการที่เราไม่สามารถมองเห็นเครื่องอื่นในวงเน็ตเวิร์กนั้นได้ อันดับแรกให้ตรวจสอบชื่อของ Workgroup ว่าถูกต้องหรือไม่? รวมถึงการตรวจสอบสิทธิ์ของการเข้าถึงข้อมูลในเครื่องนั้นๆ ด้วยว่ามีการตั้งสิทธ์ไว้อย่างไร
สำหรับปัญหา Connection has limited or no connectivity นั้นพบได้บ่อยกันระบบเน็ตเวิร์กขนาดใหญ่สาเหตุใหญ่อย่างหนึ่งคือบางครั้งมีการเข้าใช้งานในเครื่องข่ายพร้อมๆ กันจำนวนมาก ทำให้ตัว DHCP Server นั้นๆ ไม่สามารถจ่ายหมายเลขไอพีได้อย่างเพียงพอ ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น รวมถึงปัญหาเกิดปัญหาหมายเลขไอพีค้าง คือได้มีเครื่องทำการเชื่อมต่อและถอนการเชื่อมต่อออกไปแล้ว แต่เซิร์ฟเวอร์กลับไม่ดึงหมายเลขไอพีกลับมา โดยยังคงค้างหมายเลขไอพีนั้นอยู่ ทำให้ไม่สามารถจ่ายหมายเลยไอพีให้กับเครื่องที่มาต่อใหม่ได้
ทางแก้ที่ดีที่สุดคือการรีสตาร์ตตัวเซิร์ฟเวอร์หรือเราเตอร์เสีย เพื่อให้มีการรีเชตหมายเลขไอพี ก็จะทำให้ตัวเซิร์ฟเวอร์สามารถจ่ายเลขไอพีได้ตรงตามจำนวนเครื่องที่เข้ามาเชื่อมต่อภายในเน็ตเวิร์กได้อีกครั้ง

สำหรับการแชร์อินเทอร์เน็ตแล้วไม่อยากให้ความเร็วตกลงไปมากนั้น มีข้อควรพึงปฏิบัติคือ ตรวจสอบไม่ให้มีการใช้งานโปรแกรมที่ดึงแบนด์วิดธ์ส่วนมากไป เช่น การดาวน์โหลด Bit Torrent การใช้โปรแกรมแชตบางประเภทอย่าง Skype หรือแม้แต่ Yahoo Messenger ที่ได้มีการเชื่อมต่อเว็บแคมเอาไว้ และที่สำคัญป้องกันไม่ให้มีการเล่นเกมออนไลน์ภายในวงเน็ตเวิร์กด้วย เพราะนอกจากจะสูญเสียแบนด์วิดธ์ส่วนใหญ่ไปแล้ว ยังจะเสียงานอีกด้วย

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ทำอย่างไร เมื่อฮาร์ดดิสก์มีปัญหา

ทำอย่างไร เมื่อฮาร์ดดิสก์มีปัญหา

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 มีนาคม 2550

ข้อมูลสำคัญของคุณบนฮาร์ดดิสก์จะเป็นอย่างไรหากฮาร์ดดิสก์ที่ใช้อยู่เกิดมีปัญหา นอกจากนี้ CHIP ยังจะบอกให้คุณทราบถึงแนวทางการป้องกันการสูญหายของข้อมูลด้วย

ภายในฮาร์ดดิสก์นั้นประกอบด้วยชิ้นส่วนที่เป็นกลไกและมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด ดังนั้นจึงก็มีโอกาสที่จะเกิดความเสียหายหรือทำงานผิดพลาดได้ตลอดเวลา และหากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่จะตามมาอย่างแน่นอนก็คือการไม่สามารถเข้าถึงไฟล์งานหรือแอพพลิเคชันใดๆ ได้อีก ดังนั้น CHIP จะมาแนะนำถึงวิธีที่คุณจะสามารถป้องกันข้อมูลจากการสูญหาย รวมถึงวิธีที่จะสามารถกู้ข้อมูลที่สูญหายไปให้กลับคืนมาได้

ฮาร์ดดิสก์คือองค์ประกอบสำคัญส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับเครื่องพีซี เพราะฮาร์ดดิสก์จะทำหน้าที่ในการเก็บเอกสาร ไฟล์งานต่างๆ แอพพลิเคชันทั้งหมด รวมถึงระบบปฏิบัติการวินโดว์สซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดสำหรับการควบคุมและการทำงานร่วมกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งหมด หากคุณเก็บข้อมูลสำคัญสำหรับธุรกิจหรืองานเอาไว้บนฮาร์ดดิสก์และต้องพบกับปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดกับฮาร์ดดิสก์โดยไม่คาดคิด ลองจินตนาการว่าปัญหานั้นจะน่ากลัวเพียงไร หากวันหนึ่งเมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาแล้วพบข้อความแจ้งว่า “Hard disk install failure” หรือ “Primary master hard disk fail” ข้อมูลทุกอย่างของคุณอาจหายไปในพริบตา แต่อย่าเพิ่งตกใจ เพราะยังพอมีความหวังที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นกลับคืนมาได้

ความลับที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้ก็คือ ข้อมูลทุกอย่างมักจะยังถูกเก็บไว้อย่างสมบูรณ์บนฮาร์ดดิสก์ เพียงแต่จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้เพราะปัญหาเกี่ยวกับดัชนีของดิสก์ (Disk Index) ซึ่งทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลว่ามีข้อมูลอะไรถูกบันทึกอยู่บนฮาร์ดดิสก์บ้าง และเมื่อ Disk Index มีปัญหา ก็จะส่งผลให้ผู้ใช้ไม่สามารถมองเห็นข้อมูลจริงๆ ที่ถูกเก็บอยู่บนฮาร์ดดิสก์ได้ โชคดีที่ปัจจุบันมีผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้ข้อมูลที่สามารถกู้ข้อมูลต่างๆ ของคุณกลับคืนมาได้ แต่โชคร้ายก็คือสนนราคาสำหรับค่าบริการในการกู้ข้อมูลนั้นบางครั้งอาจไม่คุ้มกับข้อมูลที่สูญหายไป

คำแนะนำและเทคนิคต่างๆ ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสามารถป้องกันปัญหาเกี่ยวกับฮาร์ดดิสก์ได้ หรือในกรณีที่คุณไม่สามารถเข้าไปใช้งานข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ได้ เราจะแนะนำให้รู้จักกับซอฟต์แวร์ที่สามารถกู้ข้อมูลกลับคืนมาให้คุณได้

ค้นหาสาเหตุ : ฮาร์ดดิสก์เสียหายได้อย่างไร?
มีสาเหตุหลายประการที่ทำให้ฮาร์ดดิสก์เกิดความเสียหายได้ ไม่ว่าจะเป็นไวรัส ปัญหาเรื่องไฟตก การทำงานผิดพลาดของซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ ความผิดพลาดจากการใช้งานของผู้ใช้เอง หรือแม้แต่ปัญหาเรื่องการก่อวินาศกรรมต่างๆ และเพื่อให้เข้าใจกับลักษณะปัญหาในรูปแบบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ดียิ่งขึ้น เราจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างการทำงานภายในของฮาร์ดดิสก์รวมถึงโครงสร้างและวิธีการในการจัดเก็บข้อมูลเสียก่อน

ฮาร์ดดิสก์จะถูกออกแบบมาให้อยู่ในกล่องเหล็กที่ถูกปิดผนึกอย่างมิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นเข้าไปรบกวนการทำงานของฮาร์ดดิสก์ แนะนำว่าไม่ควรทดลองเปิดผนึกส่วนต่างๆ ของฮาร์ดดิสก์ออก เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ฮาร์ดดิสก์ของคุณเสียได้เช่นกัน หลักการทำงานของฮาร์ดดิสก์นั้น แผ่นจานแม่เหล็กจะถูกยึดอยู่กับแกนหมุนตรงกลางซึ่งจะเชื่อมต่อเข้ากับมอเตอร์ และหัวอ่าน-เขียนจะถูกยึดอยู่กับแขนกลที่สามารถเคลื่อนไหวได้ โดยฮาร์ดดิสก์จะหมุนอยู่ตลอดเวลาที่เครื่องคอมพิวเตอร์เปิดอยู่ โดยจะหมุนด้วยความเร็ว 5,400 หรือ 7,200 รอบต่อนาที

วิเคราะห์ปัญหา : ความเสียหายทางด้านกายภาพ
การทำงานของเครื่องเล่นแผ่นเสียงนั้น หัวอ่านจะสัมผัสกับพื้นผิวของแผ่นเสียง เพื่อที่จะแปลงข้อมูลจากร่องเล็กๆ ให้ออกมาเป็นเสียง แต่สำหรับการทำงานของฮาร์ดดิสก์แล้ว หัวอ่าน-เขียนจะไม่ได้สัมผัสกับแผ่นจานแม่เหล็กโดยตรง แต่หัวอ่าน-เขียนนี้จะเลื่อนไปมาโดยมีระยะที่ห่างกับพื้นผิวของแผ่นจานแม่เหล็กเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บริเวณพื้นผิวของแผ่นจานแม่เหล็กจะมีสารแม่เหล็กเคลือบอยู่ ซึ่งข้อมูลต่างๆ ทั้งหมดจะถูกเก็บบันทึกไว้โดยการเปลี่ยนแปลงสถานะของสารแม่เหล็กเหล่านั้น สำหรับการอ่านข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่นั้น ก็จะใช้วิธีการตรวจสอบสถานะของสารแม่เหล็กในบริเวณดังกล่าว โดยหัวอ่าน-เขียน จะทำหน้าที่ดังกล่าวอยู่ด้านบนของพื้นผิวนั่นเอง

หากมีความผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น ทำให้หัวอ่าน-เขียนไปสัมผัสโดนแผ่นจานแม่เหล็ก จะส่งผลทำให้เกิดปัญหาใหญ่คือ ข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่จะเกิดความเสียหาย เนื่องจากแผ่นจานแม่เหล็กนั้นจะหมุนด้วยความเร็วสูง ดังนั้นหัวอ่านที่สัมผัสกับพื้นผิวของจานแม่เหล็กก็จะทำลายพื้นผิวและข้อมูลต่างๆ จำนวนมากอย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาใหญ่คือ “ฮาร์ดดิสก์เสีย”

แน่นอนว่า หากแผ่นจานแม่เหล็กที่อยู่ภายในถูกทำลายโดยการเผาไฟ หรือน้ำท่วม หรือถูกทำลายด้วยความจงใจหรือวินาศภัยแล้ว ข้อมูลต่างๆ ที่ถูกเก็บอยู่ก็จะสูญหายไปด้วยเช่นกัน

ส่วนประกอบอื่นๆ ที่อยู่บนฮาร์ดดิสก์ เช่น มอเตอร์ หัวอ่าน แขนกล และแผงวงจร ก็อาจจะเกิดความเสียหายทางด้านกายภาพได้เช่นกัน ชิปที่ควบคุมการทำงานของมอเตอร์หรือหัวอ่านอาจจะเกิดความเสียหายจากปัญหาไฟตกหรือไฟกระชาก แต่อุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้สามารถเปลี่ยนทดแทนได้ โดยที่ข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่บนจานแม่เหล็กยังคงอยู่เหมือนเดิม ดังนั้น คุณจึงสามารถนำข้อมูลกลับคืนมาได้เช่นกัน

สำหรับการเปลี่ยนชิ้นส่วนต่างๆ ที่อยู่ภายในฮาร์ดดิสก์นั้น จะต้องเปิดผนึกฮาร์ดดิสก์ออกมา ซึ่งจะต้องทำภายใน Clean Room เท่านั้น และขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้จะต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเท่านั้น



สียหายจากภายใน : ความเสียหายแบบโลจิคอล
โครงสร้างทางด้านโลจิคอลของฮาร์ดดิสก์จะหมายถึงวิธีการในการบริหารการจัดเก็บข้อมูลที่อยู่บนฮาร์ดดิสก์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กับการจัดโครงสร้างของข้อมูลภายในหนังสือ ซึ่งเมื่อคุณเปิดหนังสือขึ้นมา ก็จะพบกับส่วนของสารบัญ และข้อมูลจริงๆ ที่อยู่ข้างในหนังสือ โดยสารบัญนั้นจะเป็นเครื่องบ่งบอกว่า คุณจะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงที่ถูกเก็บอยู่ในหนังสือได้ในหน้าใด

สำหรับการทำงานของฮาร์ดดิสก์นั้น จะมีการแบ่งพื้นที่เป็น System Area (คล้ายๆ กับสารบัญของหนังสือ) และส่วนของ Data Area (เสมือนเป็นเนื้อหาที่อยู่ในหนังสือ) ซึ่งทำการเก็บข้อมูลที่เป็นไฟล์และโฟลเดอร์ต่างๆ ทั้งหมดอย่างแท้จริง

ในขณะที่คุณกำลังใช้คอมพิวเตอร์อยู่นั้น คุณอาจจะสร้างเอกสารต่างๆ มากมาย หรือทำการติดตั้งแอพพลิเคชันเพิ่มเติมอีกหลายตัว แอพพลิเคชันแต่ละตัวจะทำงานโดยมีไฟล์ต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบนับร้อยไฟล์ ดังนั้นบนฮาร์ดดิสก์ของคุณจึงมีไฟล์ต่างๆ กระจายอยู่อย่างน้อยก็นับหมื่นไฟล์ทีเดียว

พื้นที่สำหรับการเก็บข้อมูลนั้นจะถูกจัดเรียงอยู่บนตำแหน่งต่างๆ ที่ถูกแบ่งเป็นแทร็ก (Track) และเซ็กเตอร์ (Sector) ดังนั้นข้อมูลเอกสารหรือไฟล์ต่างๆ ทั้งหมด ก็จะถูกนำไปเก็บอยู่ในเซ็กเตอร์ซึ่งอาจจะเก็บได้พอในเซ็กเตอร์เดียว หรืออาจจะต้องใช้พื้นที่หลายเซ็กเตอร์ในการเก็บไฟล์ข้อมูลหนึ่งไฟล์ (เซ็กเตอร์เปรียบเสมือนตู้สำหรับบรรทุกสินค้าที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลนั่นเอง) โดยบริเวณที่เป็น System Area จะมีการจัดวางโครงสร้าง หรือกำหนดตำแหน่งที่ใช้สำหรับการอ้างอิงถึงพื้นที่ของเซ็กเตอร์และแทร็ก ต่างๆ ทั้งหมด ซึ่งหมายความว่า ข้อมูลต่างๆ ที่ถูกเก็บอยู่ในเซ็กเตอร์ก็จะถูกอ้างอิงด้วยตำแหน่งเฉพาะของแต่ละเซ็กเตอร์ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะมีตารางสำหรับเก็บข้อมูลตำแหน่งต่างๆ อยู่บนพื้นที่ System Area โดยจะถูกเรียกว่า File Allocation Table (FAT) ซึ่งจะทำหน้าที่ในการบันทึกว่ามีข้อมูลชิ้นใดถูกเก็บอยู่ในตำแหน่งใดของฮาร์ดดิสก์

ดังนั้น เมื่อคุณต้องการที่จะเปิดเอกสารชิ้นใดชิ้นหนึ่งขึ้นมา ระบบปฏิบัติการวินโดว์สจะเริ่มต้นไปค้นหาข้อมูลจาก FAT ก่อนเป็นอันดับแรก และเมื่อพบกับชื่อไฟล์ที่ระบุอยู่ใน FAT แล้ว ก็จะมองหาตำแหน่งแรกบนฮาร์ดดิสก์ที่ถูกใช้สำหรับเก็บไฟล์นั้น แล้วจึงไปถึงไฟล์ข้อมูลจากตำแหน่งนั้นโดยตรงเพื่อนำข้อมูลส่งไปเก็บไว้ในหน่วยความจำหลักก่อนที่จะถูกนำไปประมวลผลและแสดงผลบนจอภาพ หากไฟล์ที่ถูกเปิดขึ้นมามีขนาดใหญ่และกินพื้นที่ในการจัดเก็บมากกว่าหนึ่งเซ็กเตอร์ FAT ก็จะมีการบันทึกข้อมูลเพิ่มเติมไว้ด้วยว่าส่วนอื่นๆ ของไฟล์นั้นถูกบันทึกไว้ในตำแหน่งใด

หากมีปัญหา System Area (และ FAT) เกิดความเสียหายขึ้น หัวอ่านจะไม่สามารถรู้ว่า ไฟล์ข้อมูลที่แท้จริงนั้นถูกเก็บไว้ในพื้นที่ใดของฮาร์ดดิสก์ แต่ข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่ทั้งหมดนั้นจะยังคงอยู่ในพื้นที่เดิม เพียงแต่คุณไม่สามารถเข้าถึงได้เพราะ System Area เกิดความเสียหายเท่านั้น

ความเสียหายในลักษณะดังกล่าวนี้ จะถูกเรียกว่าความเสียหายแบบโลจิคอล ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่ร้ายแรงเหมือนความเสียหายทางด้านกายภาพ ดังนั้นคุณจึงสามารถใช้ซอฟต์แวร์พิเศษบางชนิดในการกู้ข้อมูลต่างๆ กลับคืนมาได้ โดยซอฟต์แวร์เหล่านี้จะทำการอ่านข้อมูลในทุกๆ เซ็กเตอร์ แล้วสร้างรายการข้อมูลทั้งหมดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือ หากไฟล์ข้อมูลบางไฟล์ถูกแบ่งเก็บอยู่ในหลายเซ็กเตอร์แล้ว ซอฟต์แวร์สำหรับกู้ข้อมูลจะไม่สามารถรวมไฟล์เหล่านั้นมาไว้เป็นไฟล์เดียวกันได้ ดังนั้น ไฟล์ข้อมูลของคุณอาจจะถูกแสดงอยู่ในชื่อ 1.doc, 2.doc, 3.doc (หากข้อมูลที่กู้เป็นไฟล์เอกสารเวิร์ด) ซึ่งคุณจะต้องตรวจสอบส่วนต่างๆ ของไฟล์ที่ถูกกู้คืนมาด้วยตัวเอง แล้วจึงนำส่วนต่างๆ ของไฟล์มารวมกันเป็นไฟล์เดียวอีกครั้ง ซึ่งขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้จะใช้เวลาค่อนข้างนาน

ขั้นรุนแรง : ความเสียหายทางกายภาพและโลจิคอล
สำหรับเหตุผลที่สามที่ทำให้ข้อมูลเกิดความเสียหายนั้น อาจมีสาเหตุมาจากความเสียหายร่วมกันทั้งทางกายภาพและโลจิคอลซึ่งจะมีพื้นที่บางส่วนเสียหาย กล่าวคือ เซ็กเตอร์บางส่วนอาจเกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากปัญหาเกี่ยวกับไฟฟ้า ซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการอ่าน-เขียนข้อมูล หรือการถอด-ประกอบฮาร์ดดิสก์ โดยข้อมูลที่ถูกเก็บอยู่ในส่วนของเซ็กเตอร์ที่เสียหายนั้นจะสูญหายไปอย่างถาวร ซึ่งซอฟต์แวร์บางชนิดสามารถตรวจสอบพื้นที่เสียหาย และสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้

ข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่อาจทำให้คุณรู้ว่า ฮาร์ดดิสก์ของคุณอาจจะมีพื้นที่บางส่วนเสียหายก็คือ เมื่อคุณเปิดเครื่องแล้วระบบปฏิบัติการวินโดว์สจะรันโปรแกรม ScanDisk อยู่เป็นประจำนั่นเอง

คุณสามารถใช้ยูทิลิตี้ CHKDSK เพื่อทำการปิดกั้นพื้นที่เสียหายดังกล่าวไว้ไม่ให้สามารถเข้าถึงได้อีก แต่หากฮาร์ดดิสก์ของคุณมีพื้นที่เสียหายอยู่เป็นจำนวนมาก CHIP แนะนำว่าควรเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ใหม่เลยจะดีกว่า

ปัญหาพื้นที่เสียหายบนฮาร์ดดิสก์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ โดยการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี โดยการคลิกปุ่ม Shut Down รวมทั้งควรจะมีอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้ากระชากและไฟตก (UPS with Stabilizer) ไว้ใช้งานด้วย

คุณรู้หรือไม่?
ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ใช้ทั่วไปมักเข้าใจว่าเมื่อไฟล์ข้อมูลใดๆ ถูกลบไปแล้ว ข้อมูลดังกล่าวจะสูญหายไปในทันที แต่ในความเป็นจริงแล้ว ข้อมูลต่างๆ เหล่านั้นจะยังคงถูกเก็บอยู่บนฮาร์ดดิสก์ เพราะการทำงานที่แท้จริงนั้น เมื่อคุณทำการลบไฟล์ใดๆ ออกไปจากเครื่องคอมพิวเตอร์จะเป็นเพียงแค่การลบข้อมูลที่ Disk Index เก็บไว้เท่านั้น หมายความว่า พื้นที่ที่ใช้สำหรับเก็บไฟล์ดังกล่าวนั้น พร้อมที่จะให้นำข้อมูลอื่นๆ มาเก็บทับบริเวณดังกล่าวได้ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะถูกเรียกว่า “Overwriting” ดังนั้นคุณจึงสามารถใช้ซอฟต์แวร์พิเศษบางตัวในการกู้ข้อมูลเหล่านั้นคืนมาได้ และเช่นเดียวกัน คุณก็สามารถจะกู้ข้อมูลไฟล์ต่างๆ จากฮาร์ดดิสก์ที่ถูกฟอร์แมตคืนมาได้เช่นกัน



Clean Room : ห้องปฏิบัติการพิเศษที่มีระบบตรวจสอบและป้องกันฝุ่นละอองอย่างดีสำหรับการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ที่มีความละเอียดอ่อนอย่างฮาร์ดดิสก์
โปรแกรมสำหรับป้องกันข้อมูลสูญหาย


ปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับการกู้ข้อมูลจากหลายผู้ผลิตหลายราย ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้สามารถนำไปใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการได้หลากหลาย ดังนั้น หากคุณใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์สเอ็กซ์พีอยู่ ก็จะต้องเลือกใช้เวอร์ชันสำหรับวินโดว์สเอ็กซ์พีด้วยโปรแกรมจึงจะสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง สำหรับระบบปฏิบัติการอื่นๆ ที่มักจะมีโปรแกรมดังกล่าวให้เลือกใช้งานได้ไม่ยากนัก ก็ได้แก่ Linux, Unix และ Novell

โปรแกรมที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้จะถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มด้วยกัน โดยใช้สำหรับการป้องกันหรือการแก้ไขปัญหาในลักษณะที่คุณไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ ซึ่งอาจมีข้อจำกัดบางส่วน เช่น หากเกิดความเสียหายทางด้านกายภาพหรือแผ่นจานแม่เหล็กเสียหายก็อาจจะไม่สามารถกู้คืนข้อมูลกลับมาได้อีก

ก่อนเสียหาย : โปรแกรมในกลุ่มนี้จะใช้สำหรับการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับฮาร์ดดิสก์ โดยโปรแกรมจะทำการคัดลอกข้อมูลของ Disk Index ซึ่งถูกเก็บไว้ในพื้นที่ของไฟล์ระบบ (System Area) แล้วนำข้อมูลที่คัดลอกไปเก็บสำรองไว้ในพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูล (Data Area) ด้วย หากพื้นที่ไฟล์ระบบเกิดความเสียหาย โปรแกรมจะทำการดึงข้อมูลที่ได้นำไปเก็บไว้ในพื้นที่ไฟล์ข้อมูลมาใช้งานและสร้างไฟล์ Disk Index กลับคืนขึ้นมาใหม่ได้

หลังเสียหาย (การกู้ข้อมูล) : ใช้ในกรณีที่ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงไฟล์ข้อมูลหรือระบบปฏิบัติการได้อีกต่อไป ซึ่งโปรแกรมในกลุ่มนี้จะใช้สำหรับการกู้ข้อมูลที่สูญหายโดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากการเสียหายทางด้านกายภาพของแผ่นจานแม่เหล็ก ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ข้อมูลจะยังถูกเก็บอยู่บนจานแม่เหล็ก แต่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะไฟล์ Disk Index เกิดความเสียหาย เป็นต้น

แบ็กอัพ : โปรแกรมในกลุ่มนี้เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเช่นกัน โดยโปรแกรมจะทำหน้าที่ในการแบ็กอัพข้อมูลทั้งฮาร์ดดิสก์ให้โดยอัตโนมัติแล้วเก็บไว้ในสื่อบันทึกอื่นๆ เช่น ดีวีดี หรือฮาร์ดดิสก์ตัวอื่น เป็นต้น ดังนั้นหากมีปัญหาข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์เสียหาย ก็สามารถนำข้อมูลที่ถูกก๊อปปี้ไว้กลับมาใช้งานได้

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมอื่นๆ เกี่ยวกับโปรแกรมป้องกันข้อมูลและกู้ข้อมูล สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ http://www.ontrack.com/, http://www.stellarinfo.co.in/ หรือ http://www.acronis.com/

วิธีการตรวจหาพื้นที่ดิสก์เสียหาย
ถึงแม้จะมีโปรแกรมต่างๆ จำนวนมากที่สามารถแสดงให้คุณเห็นถึงสถานะการทำงานของฮาร์ดดิสก์ได้ แต่หากไม่ต้องการใช้โปรแกรมอื่นๆ ที่ต้องไปหาเพิ่มเติมมา ระบบปฏิบัติการวินโดว์สเองก็มียูทิลิตี้ให้ใช้งานได้ โดยมีชื่อว่า Windows Scandisk (คลิกปุ่ม Start -> All Programs -> Accessories -> System Tools) หรือโปรแกรม CHKDSK (Check Disk) เดิมนั่นเอง
สำหรับการใช้งาน CHKDSK ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. ที่หน้าเดสก์ทอป คลิกปุ่ม Start -> Run
2. พิมพ์คำสั่ง command ในช่อง run แล้วคลิกปุ่ม OK หรือกดปุ่ม [Enter]
3. ในหน้าต่าง DOS ให้พิมพ์คำสั่ง chkdsk แล้วกดปุ่ม [Enter]
4. หลังจากที่มีการสแกนฮาร์ดดิสก์เสร็จเรียบร้อยแล้ว CHKDSK จะแสดงรายงานให้ทราบ ให้มองหาคำว่า “bad sectors” ที่อยู่ในรายงาน ซึ่งจะมีตัวเลขแสดงพื้นที่ที่เสียหายระบุไว้
หากมีพื้นที่ที่เสียหายอยู่บนฮาร์ดดิสก์ CHKDSK สามารถที่จะซ่อมแซมพื้นที่ดังกล่าวนั้น โดยการปิดกั้นไม่ให้เข้าไปใช้งานพื้นที่ดังกล่าวอีก ซึ่งวิธีการสั่งให้ทำการแก้ไขนั้น ให้พิมพ์คำสั่ง “chkdsk/f”
เมื่อ CHKDSK แสดงหน้าต่างรายงานผลและดูข้อมูลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้พิมพ์คำสั่ง “exit” และกดปุ่ม [Enter] เพื่อกลับสู่วินโดว์ส

รู้จักกับ Clean Room
ด้วยเครื่องมือที่มีความแม่นยำสูงและสภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุมเป็นอย่างดี Clean Room จึงถูกปิดกั้นไว้ไม่ให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ นอกจากนี้แล้ว วิศวกรที่เข้าไปทำงานใน Clean Room ก็จะต้องสวมใส่ชุดพิเศษ รองเท้า เสื้อคลุม หน้ากาก และหมวกคลุม เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นผงที่ติดอยู่บนร่างกายและเสื้อผ้าทำให้เกิดความไม่บริสุทธิ์ในพื้นที่ที่ถูกควบคุม

เพื่อให้มั่นใจว่า Clean Room มีมาตรฐานและคงความสะอาดอยู่ได้เสมอ Clean Room จึงต้องใช้มาตรฐานในระดับสากล ตัวอย่างเช่น ใบรับรอง “Class-100” ซึ่งหมายถึงการรับรองว่า จะต้องมีชิ้นส่วนของฝุ่นผงที่มีขนาดใหญ่กว่า 0.5 ไมครอน ไม่เกิน 100 ชิ้นต่อพื้นที่ 1 ลูกบาศก์ฟุต ดังนั้น พื้นที่ของ Clean Room จึงต้องมีการใช้อุปกรณ์สำหรับกรองอากาศและกรองฝุ่นที่มีประสิทธิภาพสูง และเครื่องมืออื่นๆ ที่จำเป็นเพิ่มเติม เพื่อให้มั่นใจว่าแผ่นจานฮาร์ดดิสก์จะต้องสะอาดอยู่เสมอ เนื่องจากแผ่นจานฮาร์ดดิสก์นั้นมีความไวต่อความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากฝุ่นหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ

เทคนิคการป้องกันการสูญเสียข้อมูล
1. ไม่ควรปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ในทันทีทันใด แต่ให้ปิดเครื่องโดยใช้เครื่องมือของวินโดว์ส (Start -> Turn Off Computer)
2. เพื่อป้องกันความเสียหายของฮาร์ดดิสก์ที่อาจจะเกิดขึ้น ให้ระมัดระวังการเคลื่อนย้ายที่อาจทำให้เกิดการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เช่น หากคุณเปิดใช้งานโน้ตบุ๊กอยู่และต้องมีการเคลื่อนที่ ให้ค่อยๆ เคลื่อนด้วยความระมัดระวัง
3. ทำการรันยูทิลิตี้ Windows Disk Defragmenter อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง ซึ่งจะทำให้สามารถกู้ข้อมูลที่เสียหายคืนมาได้ง่ายขึ้น
4. หากฮาร์ดดิสก์เกิดความเสียหาย หรือถูกฟอร์แมตโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่าเพิ่งทำการคัดลอกไฟล์ใดๆ หรือทำการติดตั้งโปรแกรมลงไป ไม่เช่นนั้นแล้ว การกู้ข้อมูลกลับมาจะทำได้ยากขึ้น
5. ติดตั้งโปรแกรมสำหรับการป้องกันข้อมูลเสียหายไว้ล่วงหน้า ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้จะทำการคัดลอกพื้นที่ System Area เก็บไว้ จะทำให้สามารถกู้ข้อมูลที่เสียหายคืนมาได้ง่ายขึ้น
6. หากคอมพิวเตอร์ไม่สามารถตรวจสอบพบฮาร์ดดิสก์ หรือวินโดว์สไม่เริ่มต้นทำงาน ให้ตรวจสอบสายสัญญาณและสายไฟ ลองถอดและต่อเข้าไปใหม่อีกครั้ง
7. ห้ามเปิดหรือถอดส่วนประกอบใดๆ ของฮาร์ดดิสก์ เพราะฝุ่นผงอาจเข้าไปทำลายฮาร์ดดิสก์ได้
8. ห้ามวางอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีสนามแม่เหล็กหรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่มีแม่เหล็กเป็นส่วนประกอบ (เช่น ลำโพง) ใกล้กับฮาร์ดดิสก์
9. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเพื่อป้องกันความเสียหายของข้อมูล
10. ทำการแบ็กอัพข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์เก็บไว้ในแผ่นซีดีหรือฮาร์ดดิสก์ตัวอื่นด้วย โดยแนะนำให้ทำการแบ็กอัพข้อมูลเอกสารที่จำเป็นอยู่เป็นประจำ
11. ปัญหาในเรื่องของกระแสไฟฟ้าอาจทำให้ข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์สูญหายได้ ให้ใช้อุปกรณ์สำหรับการป้องกันไฟตกหรือไฟกระชากเช่น UPS ที่มีวงจรป้องกัน
12. เลือกซื้อโน้ตบุ๊กที่มีระบบป้องกันการกระแทกฮาร์ดดิสก์ด้วย
13. รันยูทิลิตี้ Windows Scan Disk อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้งเพื่อตรวจสอบพื้นที่เสียหายบนฮาร์ดดิสก์